| | เรื่องของมนุษย์ล่องหนเป็นอีกจินตนาการอัน บรรเจิดที่โลดแล่นทั้งในแผ่นฟิล์มและนิยายวิทยาศาสตร์ เสน่ห์ที่เย้ายวนของการล่องหนน่าจะอยู่ที่เราสามารถทำอะไรก็ได้โดยที่ไม่ใคร เห็น แต่ว่าเสน่ห์ที่กล่าวมานั้นดีจริงหรือเปล่า ความเย้ายวนของการล่องหนก็ดึงให้ ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ จากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) นายไพรัตน์ ยิ้มวิไล รองบรรณาธิการนิตยสารอัพเดต และนายชนประคัลภ์ จันทร์เรือง หรือ “ครูช่าง” นักแสดงและผู้กำกับละครมาร่วมเสวนากันในหัวข้อ “มนุษย์ล่องหน” ณ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เย็นวานนี้ (9 ก.ย.) นายไพรัตน์ รอง บก.อัพเดตกล่าวว่าการที่วัตถุใดจะล่องหนได้วัตถุนั้นต้องไม่สะท้อนแสง ดังนั้นถ้ามีมนุษย์ล่องหนขึ้นจริง มนุษย์คนนั้นจะเป็นคนตาบอดเพราะแสงจะทะลุผ่านดวงตาเขาไปและไม่สามารรับแสง ได้ ไม่เช่นนั้นก็จะเห็นแต่ลูกตาลอยอยู่ แต่ในวงสนทนานั้นได้พุ่งเป้าไปที่การล่องหนจากการเดินทางในเวลาซึ่งมีทฤษฎี สัมพัทธภาพของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) เป็นประเด็นหลัก ดร.บัญชากกล่าวว่าหากเราเดินทางไปในเวลาได้ก็นับเป็นการล่องหนจากที่ หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ซึ่งการเดินทางไปยังอนาคตนั้นในทางฟิสิกส์ได้เกิดขึ้นแล้วแต่การเดินทางกลับ ไปในอดีตยังไม่เกิดขึ้น โดยยกตัวอย่างการทดลองนำนาฬิกาอะตอมติดไปกับเครื่องบินที่มีความเร็วเทียบ กับนาฬิกาอะตอมอีกเรือนที่อยู่บนโลก ผลพบว่านาฬิกาอะตอมเรือนแรกเดินช้ากว่านาฬิกาอะตอมที่อยู่บนโลก ทั้งนี้การทดลองดังกล่าวนอกจากจะเป็นการพิสูจน์ทฎษฏีสัมพัทธภาพแล้วยังเป็น การยืนยันว่าหากเราสามารถเคลื่อนด้วยความเร็วสูงเราก็จะสามารถเดินทางไปใน อนาคตของอีกคนที่เคลื่อนที่ช้ากว่าได้ สำหรับประเด็นว่าถ้าคนเราล่องหนได้จริงจะเกิดผลกระทบอย่างไรกับโลก นายไพรัตน์ให้ความเห็นว่าต้องพิจารณาว่าเราล่องหนด้วยวิธีไหน หากเป็นการล่องหนด้วยการเดินทางในเวลาก็ต้องถามว่าจะเดินทางไปทำอะไร ทั้งนี้การเดินทางกลับไปในอดีตนั้นอาจส่งผลกระทบที่ไม่อาจประเมินได้ใน ปัจจุบันและอนาคต พร้อมทั้งยกตัวอย่างภาพยนตร์ Butterfly Effect ที่ตัวเอกเดินทางกลับไปแก้ไขอดีตแต่ได้สร้างความเสียหายที่คาดไม่ถึง ด้าน “ครูช่าง” ให้ความเห็นว่าหากคนเราสามารถสร้างเทคโนโลยีดังกล่าวได้จริงก็เป็นเรื่องน่า กลัวมากถ้าตกไปอยู่กับคนเห็นแก่ตัว หากจิตใจของมนุษย์ยังไม่ถูกพัฒนาก็อย่าทำเทคโนโลยีดังกล่าวขึ้นมาดีกว่า แต่ถ้ามนุษย์พร้อมและเลิกเห็นแก่ตัวก็เป็นเรื่องดี เพราะโดยส่วนตัวของครูช่างแล้วก็อยากไปเห็นอนาคตตอนตัวเองตายว่าเป็นอย่างไร หรือลูกจะเติบโตไปเป็นอย่างไร อย่างน้อยๆ ก็จะได้ทำใจ ครู ช่างยังกล่าวอีกว่าเมื่อมองด้วยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาแล้ว จะล่องหนหรือไม่ล่องหนนั้น ให้พิจารณาว่าทุกอย่างเป็นทุกขัง (ทุกอย่างเป็นทุกข์) อนิจจัง (ทุกอย่างไม่เที่ยง) และอนัตตา (ทุกอย่างไม่มีตัวตน) ดังนั้นไม่มีอะไรที่เป็นแก่นสารที่จะยึดถือได้ ก็ล่องหนได้แล้ว นอกจากนี้ ดร.บัญชายังได้ยกอีกความหมายของการล่องหนว่าบางครั้งระหว่างการพูดคุยแต่คู่ สนทนาไม่ได้สนใจเราหรือหันไปสนใจสิ่งอื่นก็นับว่าเราได้ล่องหนไปจากสายตาของ ผู้สนทนาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตามการมีตัวตนที่แท้คงเป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝันมากกว่าเพราะเราคงอยากเป็นผู้ที่คนอื่นมองเห็นความสำคัญมากกว่า
ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th
| | |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น